“เรือลอยอังคาร” พาหนะสุดท้ายแห่งสัมปรายภพ
หลายคนมองว่าความตายไม่ใช่สิ่งที่น่ารื่นรมย์นัก เราจึงหวาดกลัวและวิตกกังวลเกี่ยวกับความตายไม่ใช่น้อย แม้ว่ามันจะเป็นสิ่งที่ทุกคนต้องเผชิญก็ตาม คนไทยมีความเชื่อเรื่องความตายตามหลักของพุทธศาสนาที่บอกไว้ว่า ความตายคือการดับสูญของขันธ์ 5 อันได้แก่ รูป เวทนา สัญญา สังขาร และวิญญาณ หลงเหลือไว้เพียงแค่เถ้าถ่าน หรือก็คืออังคารนั่นเอง การลอยอังคารโดยใช้บริการจากเรือลอยอังคารจึงเริ่มเกิดขึ้น และได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก
ความเชื่อเรื่องการนั่งเรือกับความตายและการนั่งเรือลอยอังคารเพื่อส่งดวงวิญญาณสู่สัมปรายภพ
ชาวตะวันตกมีความเชื่อเรื่องของการนั่งเรือกับความตาย โดยมีสำนวนเก่าแก่ราว 400 ปีที่แล้วสำนวนหนึ่งกล่าวไว้ว่า “to take the ferry” ในยุคกรีกโบราณเชื่อกันว่าเมื่อคนเราตายไปแล้วนั้น ดวงวิญญาณจะเดินทางไปสู่ยมโลก หรือโลกหลังความตาย ซึ่งเชื่อกันว่าเป็นดินแดนของเทพเฮดิส ระหว่างนั้นดวงวิญญาณจะต้องข้ามแม่น้ำแอเครอนไปให้ได้ โดยการนั่งเรือข้ามฟากที่พายโดยแครอน และมีค่าโดยสารเป็นเงินปากผีที่ใส่ไว้ในศพผู้ตายนั่นเอง การนั่งเรือข้ามฟากจึงเป็นคำพูดแทนอ้อม ๆ ถึงความตาย หรือถ้าคนไหนที่ตายก็จะพูดกันว่าคนคนนั้นได้นั่งเรือข้ามฟากไปสู่ยมโลกแล้ว
เช่นเดียวกับชาวฮินดูที่เชื่อกันว่าร่างกายของมนุษย์นั้นประกอบด้วยธาตุหลักทั้ง 4 คือ ดิน น้ำ ลม ไฟ เมื่อร่างกายสูญสลาย ก็ควรได้กลับไปสู่สภาพเดิม โดยเชื่อกันว่าธาตุน้ำเป็นสิ่งสงบ เย็น และชุ่มชื่น อีกทั้งน้ำยังเป็นสิ่งที่จำเป็นต่อสรรพชีวิตบนโลก การที่ดวงวิญญาณของผู้ตายจะไปสู่สัมปรายภพได้นั้นจะต้องได้รับความสงบร่มเย็นดั่งสายน้ำ จึงมีการนั่งเรือลอยอังคารนำอัฐิและเถ้าถ่านไปลอยในแม่น้ำ หรือทะเล เพื่อให้ผู้ตายเดินทางไปสู่สัมปรายภพด้วยความฉ่ำเย็น
การนั่งเรือลอยอังคารและพิธีลอยอังคารที่นิยมปฏิบัติในปัจจุบัน
ปัจจุบันผู้คนนิยมลอยอังคารกันมากขึ้น โดยนิยมปฏิบัติดังนี้
1.เริ่มต้นพิธีด้วยการบูชาแม่ย่านางเรือ โดยผู้ทำหน้าที่เป็นประธานในพิธีจะลงเรือลอยอังคารแล้วนำดอกไม้สด ธูปเทียนในพานจุดบูชาแม่ย่านางเรือที่บริเวณหัวเรือ เพื่อกล่าวบูชาและขออนุญาตก่อนจะนำเถ้ากระดูกขึ้นเรือ และออกเรือไปยังจุดที่ต้องการ
2.บูชาเถ้ากระดูกที่นำมาลอย โดยเมื่อเรือลอยอังคารแล่นมาถึงจุดทำพิธี จะมีการเปิดภาชนะที่ใส่อังคาร สรงด้วยน้ำอบ แล้วโรยด้วยดอกไม้ เช่น มะลิ กลีบกุหลาบ และดอกไม้อื่น ๆ จากนั้นจะห่อเถ้ากระดูกด้วยผ้าขาว ผูกด้วยสายสิญจน์ และพวงมาลัย บรรดาญาติจะได้รับดอกกุหลาบคนละ 1 ดอก
3.บูชาเจ้าแม่นทีและท้าวสีทันดร พิธีนี้จะมีการจัดเตรียมเครื่องบูชาอันประกอบไปด้วยกระทงดอกไม้เจ็ดสี 1 กระทงธูป 7 ดอก เทียนหนัก 1 บาท 1 เล่ม พานโตกขนาดกลาง 1 ใบสำหรับวางกระทงดอกไม้เจ็ดสี โดยประธานจะเป็นผู้กล่าวบูชาและขอฝากเถ้ากระดูกไว้กับเจ้าแม่นทีและท้าวสีทันดร
4.เริ่มพิธีลอยอังคารโดยประธานจะโยนเหรียญลงทะเลเพื่อซื้อที่ตามความเชื่อ จากนั้นจะลอยกระทงดอกไม้เจ็ดสี และเถ้าอังคารบนผิวน้ำ โดยผู้ร่วมพิธีทุกคนจะถือสายสิญจน์ไว้ในมือ ก่อนจะตามมาด้วยดอกกุหลาบ ธูปเทียน และสิ่งของที่เหลืออื่น ๆ จากการบูชา จากนั้นเรือจะแล่นวนซ้าย 3 รอบ ถือเป็นการเสร็จสิ้นพิธีการ
พิธีการลอยอังคารเป็นความเชื่อส่วนบุคคล ไม่จำเป็นที่จะต้องกระทำในทุกครั้งเมื่อมีผู้เสียชีวิต บางครอบครัวอาจต้องการเก็บเถ้ากระดูกเอาไว้เพื่อบูชา แต่ถึงกระนั้นเรือลอยอังคารก็ถือเป็นพาหนะสุดท้ายที่ทำหน้าที่ส่งดวงวิญญาณของคนที่รักไปสู่สัมปรายภพ…บ้านอันแท้จริงของสรรพสิ่งทั้งปวง